ภาษีเงินได้นิติบุคคล คืออะไร..? บทความนี้มีคำตอบ

ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ

ภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ภาษีที่เรียกเก็บจากรายได้หรือผลกำไรสุทธิของนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นิติบุคคลหมายถึงหน่วยงานที่มีสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย เช่น บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด และองค์กรอื่น ๆ

ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีประเภทใด?

ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดอยู่ในกลุ่ม “ภาษีทางตรง” ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีรายได้หรือผลกำไรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระเงินภาษีด้วยตนเอง โดยฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและรายการลดหย่อนที่กฎหมายอนุญาต

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ นิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทยหรือมีสถานประกอบการในประเทศไทย รวมถึงนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย แต่มีรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศ

  1. บริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด:
    บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้า บริการ หรือการลงทุน
  2. ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน:
    ห้างหุ้นส่วนที่ดำเนินกิจการและมีรายได้จากการทำธุรกิจ
  3. องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (บางประเภท):
    เช่น สมาคมหรือมูลนิธิที่มีรายได้จากการประกอบกิจกรรมที่แสวงหากำไร
  4. นิติบุคคลต่างประเทศ:
    ที่มีรายได้ในประเทศไทย เช่น ค่าธรรมเนียม ลิขสิทธิ์ หรือเงินปันผล
  5. กองทุนหรือทรัสต์:
    กองทุนที่จดทะเบียนและมีรายได้จากการลงทุน

นิติบุคคลที่ต้องเสียภาษีเงินได้ มีอะไรบ้าง?

นิติบุคคลที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมีหลากหลายประเภท โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก:

  1. นิติบุคคลในประเทศ:
    • บริษัทจำกัด
    • บริษัทมหาชนจำกัด
    • ห้างหุ้นส่วนจำกัด
    • ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
    • มูลนิธิหรือสมาคมที่มีรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์
  2. นิติบุคคลต่างประเทศ:
    • บริษัทต่างชาติที่ประกอบกิจการในประเทศไทย เช่น การมีสำนักงานตัวแทน หรือการขายสินค้าผ่านสาขาในประเทศ
    • บริษัทต่างชาติที่ไม่มีสถานประกอบการในประเทศไทย แต่มีรายได้ในประเทศ เช่น การให้เช่าอุปกรณ์ การขายลิขสิทธิ์ หรือการได้รับเงินปันผลจากบริษัทในประเทศ

นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษี มีอะไรบ้าง?

นิติบุคคลอื่นๆ นอกจากที่กล่าวในข้างต้น และเฉพาะที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น กระทรวง ทบวง กรม องค์การ ของรัฐบาลหรือสหกรณ์ อย่างไรก็ตาม ยังมีนิติบุคคลอีกบางประเภทที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร แต่ได้รับการยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างๆ ได้แก่

(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ

(2) บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

(3) บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่าง ประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

(4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ตามเงื่อนไขที่กำหนดในอนุสัญญา

การคำนวณและการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล

การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลจะพิจารณาจากกำไรสุทธิของกิจการในรอบบัญชี โดยการคำนวณเริ่มต้นจากการนำรายได้ทั้งหมดมาหักด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ จากนั้นนำกำไรสุทธิที่เหลือมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีที่กำหนด ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยในปัจจุบันมีดังนี้:

  1. บริษัทขนาดเล็ก (SME):
    • กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี
    • กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท: อัตรา 15%
    • กำไรสุทธิที่เกิน 3,000,000 บาท: อัตรา 20%
  2. บริษัททั่วไป:
    • กำไรสุทธิทั้งหมดเสียภาษีในอัตรา 20%

ข้อกำหนดและบทลงโทษ

นิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการยื่นแบบภาษี โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) ภายใน 150 วันหลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหรือเรียกเก็บเงินเพิ่ม โดยบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้นได้แก่:

  1. ค่าปรับการยื่นล่าช้า:
    คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ต้องชำระ
  2. ดอกเบี้ยเงินเพิ่ม:
    อัตรา 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ค้างชำระ

สรุป

ภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ภาษีทางตรงที่เรียกเก็บจากรายได้สุทธิของนิติบุคคลในประเทศไทย ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศ และองค์กรที่มีรายได้จากการดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์ การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการยื่นแบบและการชำระภาษีอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ยังเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงในระยะยาว.